แผยแพร่เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2566

"สารทำความเย็น" หรือ "น้ำยาแอร์" ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่ช่วยสร้างความเย็นที่เหมาะสมกับระบบทำความเย็นทุกประเภท ไม่ว่าความต้องการการทำความเย็น หรือ ใช้สารทำความเย็นประเภทใด จำเป็นต้องมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการทำความเย็น อุณหภูมิ รวมถึงต้นทุน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

"เทคนิคการเลือกสารทำความเย็นให้เหมาะสมกับการใช้งาน"

นอกจากประเภทของสารทำความเย็นแล้ว ยังต้องพิจารณาด้านการใช้งานให้เหมาะสมอีกด้วย ทั้งด้านปริมาณ และการใช้งาน ที่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบทำความเย็นของคุณทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว เช่น

1. ผลกระทบจากใช้สารทำความเย็นผิดประเภท :

• ประสิทธิภาพ :
สารทำความเย็นแต่ละชนิดมีคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ต่างกัน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอุณหภูมิด้วย การใช้สารทำความเย็นที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากระบบอาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม

• ความสามารถในการทำความเย็นลดลง :
ความสามารถในการทำความเย็นของระบบทำความเย็นได้รับการออกแบบตามคุณสมบัติของสารทำความเย็นเฉพาะ การใช้สารทำความเย็นชนิดอื่นอาจทำให้ความสามารถในการทำความเย็นลดลงได้

• ผลกระทบโดยตรงต่อคอมเพรสเซอร์ :
คอมเพรสเซอร์เป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบทำความเย็น การใช้สารทำความเย็นที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป ทำให้ใช้พลังงาน/เกิดความร้อนสูง ซึ่งทำให้ระบบ หรือตัวเครื่องคอมเพรสเซอร์เสียหายได้

• ไม่เข้ากับน้ำมันหล่อลื่น :
ระบบทำความเย็นมักจะอาศัยน้ำมันหล่อลื่นประเภทเฉพาะที่เข้ากันได้กับสารทำความเย็นที่ใช้ การใช้สารทำความเย็นที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อความหล่อลื่น และการทำงานของน้ำมันคอมแอร์ ทำให้เกิดการสึกหรอเพิ่มขึ้นและอาจสร้างความเสียหายให้กับชิ้นส่วนในระบบทำความเย็นได้

• ระบบทำความเย็นรั่วไหล/ระบบล่ม :
ซีลและปะเก็นในระบบทำความเย็นได้รับการออกแบบให้ทำงานกับสารทำความเย็นเฉพาะ การใช้สารทำความเย็นผิดอาจทำให้ซีลเหล่านี้เสื่อมสภาพจนเกิดการรั่วไหลในระบบ และความไม่เข้ากันระหว่างสารทำความเย็น และส่วนประกอบของระบบทำความเย็น จะทำให้ระบบโดยรวมเสียหาย ทำให้ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง ไปจนถึงความเสียหายถึงขั้นต้องเปลี่ยนระบบทำความเย็นใหม่ทั้งหมด

• ความปลอดภัย :
การใช้น้ำยาทำความเย็นผิดประเภท อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น ความเป็นพิษหรือการติดไฟ การใช้สารทำความเย็นที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากสารทำความเย็นที่ต้องการอาจทำให้เกิดอันตรายกับทั้งระบบ และผู้ใช้งาน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม

2. ผลกระทบจากการใช้สารทำความเย็นปริมาณมาก หรือ น้อยเกินไป

• ประสิทธิภาพ :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : ปริมาณน้ำยาทำความเย็นที่มากเกินความต้องการ จะสามารถเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอุณหภูมิภายในระบบได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากระบบไม่สามารถรักษาระดับอุณหภูมิที่ต้องการได้ ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : ทำให้ความสามารถของระบบในการดูดซับและถ่ายเทความร้อนลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการทำความเย็นลดลง

• คอมเพรสเซอร์ :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : ทำให้คอมเพรสเซอร์มีอาการ Overloading หรือทำงานหนักกว่าที่ออกแบบเอาไว้ ทำให้เกิดการสึกหรอ และเกิดความเสียหายได้ ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : ระดับสารทำความเย็นที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้การหล่อลื่นไม่เพียงพอและเพิ่มแรงเสียดทานภายในคอมเพรสเซอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

• การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : สารทำความเย็นในระบบมากเกินไป ทำให้ใช้พลังงานเกินความจำเป็น ซึ่งส่งผลให้ค่าพลังงานสูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุน

• การไหลเวียนของน้ำมัน :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : ในระบบทำความเย็นจะใช้น้ำมันหล่อลื่นเพื่อช่วยให้ชิ้นส่วนในระบบเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น สารทำความเย็นที่มากเกินไปจะเป็นส่วนเกินที่ขัดขวางการไหลเวียนของน้ำมัน ส่งผลให้มีการหล่อลื่นไม่เพียงพอและอาจเกิดความเสียหายต่อส่วนประกอบต่างๆ ในระบบทำความเย็น

• Icing Issues (น้ำแข็งสะสม) :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : การเติมสารทำความเย็นในระบบมากเกินไป ทำให้คอยล์เย็นมากเกินไป และทำให้เกิดน้ำแข็งสะสมบริเวณคอยล์เย็นได้ ซึ่งส่งผลต่อการถ่ายเทความร้อน และลดประสิทธิภาพการทำความเย็น เช่นทำให้ห้องเย็น เย็นช้าลง ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : ระดับสารทำความเย็นต่ำ ส่งผลต่อก่อตัวของน้ำแข็งบริเวณคอยล์ได้เช่นกัน ซึ่งอาจขัดขวางกระบวนการถ่ายเทความร้อนและลดประสิทธิภาพโดยรวมของระบบ

• ความเสี่ยงจากการรั่วไหลของสารทำความเย็น :
ปริมาณสารทำความเย็นที่มากเกินไป : แรงดันสูงที่เกิดจากการอัดประจุมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาการรั่วไหลของสารทำความเย็นในระบบทำความเย็นได้ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพของระบบ บุคลากร และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

• ปัญหาคอยล์เย็นระเหย :
ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : คอยล์เย็นจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีระดับสารทำความเย็นในระบบต่ำ ส่งผลให้ระบายความร้อนไม่เพียงพอ และอาจเกิดความเสียหายต่อคอยล์เย็นได้

• รอบการทำงานที่สั้นเกินไป :
ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : สารทำความเย็นในระบบต่ำ ทำให้เกิดการทำความเย็นได้แค่รอบสั้นๆ ส่งผลให้มีการเปิดและปิดระบบบ่อยเกินความจำเป็น ทำให้ส่วนประกอบสึกหรอไวขึ้น และลดอายุการใช้งานโดยรวมของระบบได้

• ส่วนประกอบมีความร้อนสูงเกินไป :
ปริมาณสารทำความเย็นที่น้อยเกินไป : หากไม่มีปริมาณสารทำความเย็นที่เพียงพอที่จะดูดซับและนำความร้อนออกจากระบบ ส่งผลให้ส่วนประกอบบางอย่างของระบบ เช่น คอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ มีความร้อนมากเกินไป

สารทำความเย็นที่มีปริมาณมาก หรือ น้อยเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยกู้คืนสารทำความเย็นส่วนเกิน ตรวจสอบและซ่อมแซมรอยรั่ว และตรวจสอบระบบทำความเย็นให้ได้รับการชาร์จสารทำความเย็นด้วยปริมาณที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิต และความต้องการของระบบ

สรุปแล้ว การเลือกใช้สารทำความเย็นที่เหมาะสม ทั้งประเภท ปริมาณ ไปจนถึงส่วนประกอบของสารทำความเย็น ที่เข้ากันได้กับระบบทำความเย็นของคุณ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งผลต่อระบบทำความเย็น ทั้งในแง่คุณภาพ ประสิทธิภาพ และการใช้งานการทำความเย็นโดยรวมทั้งหมด

ผู้ใช้งานในระบบทำความเย็น ควรใช้สารทำความเย็นที่ถูกต้องซึ่งระบุโดยผู้ผลิตอุปกรณ์ และได้การรับรองด้านส่วนประกอบ ส่วนผสม และค่าความบริสุทธิ์ หากจำเป็นต้องเปลี่ยนสารทำความเย็น ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านสารทำความเย็น ระบบ HVAC&R ที่เชื่อถือได้ เพื่อเลือกสรรสารทำความเย็นที่เหมาะกับระบบ รวมถึงความสมดุลด้าน ประสิทธิภาพ ต้นทุน ข้อกำหนด และสิ่งแวดล้อม

Colder Solution มุ่งมั่นในการคัดสรรสารทำความเย็นที่มีความสมดุล ระหว่าง ประสิทธิภาพ คุณภาพ ความปลอดภัย ต้นทุน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม และสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้า ทุกอุตสาหกรรม และทุกธุรกิจ

เข้าสู่ปีที่ 10 เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา เปลี่ยนแปลง เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกท่าน l Change for the better

ติดต่อเรา :
Line id : @Colder
Email : kantawan.coldersolution@gmail.com