แผยแพร่เมื่อ 30 มกราคม 2566
“โจรปล้น 10 ครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง ข่าวอัคคีภัยต่างๆ ในปีที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับครัวเรือนไปถึง ระดับอุตสาหกรรม ได้สร้างความสูญเสียให้กับทรัพย์สิน และชีวิตของผู้คนเป็นจำนานมาก
ไฟไหม้จากอุปกรณ์ไฟฟ้านับเป็นสาเหตุของไฟไฟม้ที่พบได้บ่อยที่สุด (19% ในปี 2564) และบุคลากร 4 ใน 10 คนใช้ถังดับเพลิงผิดประเภทในการจัดการกับไฟที่เกิดจากไฟฟ้า สิ่งสำคัญคือเราต้องตระหนักถึงการเลือกใช้ชนิดถังดับเพลิงให้ถูกประเภท
วันนี้เราจะมากล่าวถึงคุณสมบัติของถังดับเพลิงแต่ละประเภท และวิธีเลือกประเภทของถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับประเภทเพลิงไหม้กันค่ะ
ประเภทของเพลิงไหม้ ตามมาตรฐาน NFPA 10 (Standard for Portable Fire Extinguishers)
• A (Ordinary Combustibles) : เชื้อเพลิงที่เกิดจากวัสดุติดไฟทั่วไป หรือที่มีคาร์บอนเป็นเชื้อเพลิง เช่น กระดาษ ไม้ ผ้า สิ่งทอต่างๆ รวมถึงยาง พลาสติก
• B (Flammable liquids) : เชื้อเพลิงที่เกิดจากของเหลวไวไฟ และแก๊ส เช่น พาราฟิน น้ำมันดีเซล หรือน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน (ยกเว้นน้ำมันประกอบอาหาร) เพลิงประเภทนี้จะสามารถลุกไหม้ได้นานเมื่อมีออกซิเจน
• C (Electrical Equipment) : ต้นเหตุมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่
• D (Combustible Metals) : เกิดจากการเผาไหม้โลหะ หรือโลหะที่มีคุณสมบัติติดไฟได้ เช่น อะลูมิเนียม ลิเธียม หรือแมกนีเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น จำเป็นต้องใช้สารเคมีเฉพาะทาง ตามประเภทของต้นเพลิง
• K (Combustible Cooking) : เกิดจากไขมันสัตว์ และน้ำมันปรุงอาหาร
ประเภทของถังดับเพลิงแต่ละชนิด และการใช้งาน
1. ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water fire extinguishers)
เหมาะสำหรับใช้ดับเพลิงประเภท A เท่านั้น ดังนั้น ทำงานโดยการฉีดน้ำจากหัวฉีดพ่น ถังดับเพลิงชนิดนี้จะบรรจุน้ำหรือก๊าซเอาไว้ เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนของเชื้อเพลิง เหมาะสำหรับการใช้ดับเพลิงในอาคารที่พักอาศัย หรือธุรกิจทั่วไป เช่นร้านค้า สำนักงาน สถานที่ขายปลีก โรงเรียน โรงแรม คลังสินค้า
ข้อเสีย : คือไม่สามารถใช้กับการเผาไหม้ของ Class อื่นๆ หรือต้นเพลิงที่มาจากเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
2. ถังดับเพลิงชนิดโฟม (Foam extinguishers)
เหมาะสำหรับใช้ดับเพลิงประเภท Class A และ B มีทั้งชนิด AFFF (โฟมน้ำที่ก่อตัวเป็นฟิล์ม) และ FFFP (ฟลูออโรโปรตีนที่ก่อตัวเป็นฟิล์ม) ทำงานโดยปล่อยวัสดุโฟมออกมาปกคลุมเชื้อเพลิงเพื่อลดความร้อน และออกซิเจน ทำการยิงสารจากยิงระยะ 1 เมตร เพื่อดับต้นกำเนิดไฟ
แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าโฟมเป็นสื่อนำไฟฟ้า จึงไม่สามารถใช้กับการดับเพลิงประเภท Class C ได้เลย แต่ด้วยวิวัฒนาการ หากเป็นโฟมดับเพลิงผ่านการทดสอบไดอิเล็กทริกแล้ว จะสามารถดับไฟกับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
ข้อเสีย : ทิ้งสิ่งตกค้างที่ต้องทำความสะอาดภายหลัง
3. ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry powder extinguishers)
เหมาะสำหรับใช้ดับเพลิงประเภท A, B และ C (แต่มีถังดับเพลิงชนิดผงเฉพาะทางได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการกับไฟประเภท D ที่เกี่ยวข้องกับโลหะที่ติดไฟได้) ทำงานโดยใช้ผงเคมีขัดขวางการลุกไหม้ของออกซิเจนกับเชื้อเพลิง และหยุดไม่ให้ไฟลุกลาม
สารดับเพลิงที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้เป็นผงที่ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กมาก เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนตเบสและโพแทสเซียมไบคาร์บอเนต เป็นต้น
ข้อเสีย : ผงเคมีมีอันตรายหากหายใจเข้าไป ควรใช้โดยบุคลากรที่ผ่านการอบรม และในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
4. ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 extinguishers)
ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เหมาะสำหรับการดับไฟ Class B และ C เนื่องจากสารมีประสิทธิภาพที่ดีในช่วงค่อนข้างสั้น คือ 3-8 ฟุต (1 ม. ถึง 2.4 ม.) สารจะถูกปล่อยออกมาในรูปแบบของไอเย็นจัด (Dry Ice) ถังดับเพลิงประเภทนี้จะไม่เหลือสารตกค้าง จึงเหมาะในการใช้กับการดับเพลิง ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีราคาสูง หรือห้องทดลอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ภายหลัง หรือทำให้ระบบลัดวงจร
ข้อเสีย : ไม่เหมาะสมใช้ในพื้นที่กลางแจ้งที่มีลมแรง หรือใช้ภายในอาคารในสถานที่ที่มีกระแสลมแรง เนื่องจากสารสามารถกระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพความเข้มข้นของการดับไฟลดลง
5. ถังดับเพลิงชนิดสารเคมีเปียก (Wet chemical extinguishers)
เป็นถังดับเพลิงเพียงชนิดเดียวที่เหมาะสำหรับการดับเพลิงประเภท K หรือ เกิดจากไขมันสัตว์ และน้ำมันจากการปรุงอาหาร และยังสามารถใช้กับไฟประเภท A ได้อีกด้วย ประกอบด้วย สารละลายของน้ำและโพแทสเซียมอะซิเตต โพแทสเซียมคาร์บอเนต โพแทสเซียมซิเตรต ทำงานโดยปล่อยสารที่เป็นสเปรย์ละเอียดบริเวณจุดเกิดเพลิงไหม้โดยตรง
ข้อเสีย : มีราคาสูง
6. ถังดับเพลิงชนิดน้ำยา หรือสารเคมีเหลวระเหย (Halotron Extinguishers)
ถังดับเพลิงประเภทนี้ มีน้ำยาชนิดเหลวระเหยบรรจุอยู่ต่างชนิด ตามแต่ผู้ผลิต โดยจำเป็นต้องมีคุณสมบัติ ไม่นำไฟฟ้า ไม่กัดกร่อน และระเหยได้หลังการใช้งาน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ถังดับเพลิงชนิดนี้สามารถดับเพลิงไหม้ได้ทั้งประเภท A, B, C (แล้วแต่สารเคมี และคู่มือการใช้)
ด้วยความครอบคลุมในการใช้จึงเหมาะสมกับสถานที่ และอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เมื่อระบายออก สารเหล่านี้จะอยู่ในรูปรวมกันของก๊าซ/หมอกหรือของเหลว ซึ่งจะระเหยอย่างรวดเร็ว ทำหน้าที่ลดความร้อน และขัดขวางการเผาไหม้ออกซิเจน ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า และยังไม่ทิ้งคราบสกปรกหลังไฟดับลง
ด้านในจะบรรจุสารอย่าง HCFC-123 (R123)
• วิธีการใช้ถังดับเพลิงพื้นฐาน ตามหลักการแล้ว ผู้ใช้เครื่องดับเพลิง ควรผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัย หรือสำนักงาน ควรมีการจัดอบรมหนีไฟ และการดับไฟขั้นพื้นฐานอยู่เป็นประจำ ถังดับเพลิงควรมีการเปิดใช้งานเมื่อสัญญาณเตือนไฟไหม้ทำงาน ใช้ในการจัดการไฟที่เริ่มลุกลามระยะแรก และมีเส้นทางอพยพออกนอกอาคารอย่างปลอดภัย
เทคนิค 4 ขั้นตอนต่อไปนี้จะสามารถช่วยให้คุณจดจำ และเข้าใจการใช้ถังดับเพลิงทั่วไปได้ง่ายขึ้น ด้วยตัวย่อ PASS
• ดึง (Pull) : ดึงเพื่อปลดสลักนิรภัย
• เล็ง (Aim) : ใช้มือจับทั้งส่วนมือจับและคันฉีดให้มั่น และเล็งต่ำ ชี้หัวฉีดหรือสายยางไปที่ฐานของไฟ
• บีบ (Squeeze) : บีบคันฉีดเพื่อปล่อยสารในถังดับเพลิง
• กวาด (Squeeze) : กวาดมือจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งที่ฐานของไฟ/แหล่งเชื้อเพลิงจนกว่าไฟจะดับ
นอกจากการใช้ที่ถูกวิธี และการใช้ถังดับเพลิงตามความเหมาะสมของประเภทเพลิงไหม้ ควรมีการตรวจสอบสภาพถังดับเพลิง และมีการซ้อมหนีไฟ หรือจัดการอบรมด้านอัคคีภัยแก่บุคลากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยในธุรกิจ และชีวิตขอทุกท่านค่ะ
Colder Solution ผู้นำด้านการนำเข้าสารทำความเย็นคุณภาพทุกยี่ห้อ Orafon,Honeywell,Klea,Chemours,Daikin ฯลฯ คอมเพรสเซอร์ รวมถึงอะไหล่คอมเพรสเซอร์ และอื่นๆ อาทิเช่นน้ำมันหล่อลื่นเกรดคุณภาพ
ปรึกษาเราได้ที่
Line id : @Colder
✉ Email : kantawan.coldersolution@gmail.com
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อนำเสนอเนื้อหาและโฆษณา
คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม ‘นโยบายคุกกี้’
Website Policy | Privacy Policy | Copyright 2021