แผยแพร่เมื่อ 27 กรกฎาคม 2565
HFC Phase-down
สำหรับ Hydrofluorocarbons (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ) หรือ HFCs คือกลุ่มของก๊าซประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นสารทำความเย็น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุปกรณ์ทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ อย่าง R407C, R134a ประกอบด้วย ไฮโดรเจน ฟลูออรีน และคาร์บอน เครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน มีการใช้สารทำความเย็นประเภท HFCs (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน) มากที่สุด เนื่องจาก ไม่มีเป็นพิษ ไม่ติดไฟ และไม่กัดกร่อนอุปกรณ์
ตั้งแต่ Paris agreement หรือความตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการเสริมสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อเสริมสร้างการดำเนินงานและวัตถุประสงค์ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีเป้าหมายในการเลิกใช้สาร HFCs อย่างรวดเร็วที่สุดเป็นสำคัญ และแทนที่สารทำความเย็น HFCs ด้วยก๊าซชนิดอื่นที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศที่ต่ำกว่า อย่างแอมโมเนีย CO2 และสารทำความเย็นไฮโดรคาร์บอน เช่น R290
การแก้ไขคิกาลี (The Kigali Amendment) ระบุถึงการลดการใช้สาร HFC จนถึงปี 2047 โดยกำหนดให้มีการใช้สารทำความเย็นนี้ลดลงตั้งแต่ 80 ถึง 85%
มีการศึกษาที่คาดการณ์ถึงการปล่อยสาร HFCs โดยไม่มีการควบคุมจากปี 2019 ถึงปี 2050 จะมีปริมาณเทียบเท่า CO2 มากกว่า 92 พันล้านตัน และหากเป็นไปตามความควบคุมจากการลงนามแก้ไขคิกาลี ยอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 32 พันล้านตันเท่านั้น
แต่หากทุกประเทศในโลกลดการปล่อยสาร HFCs ได้ถึง 95% ภายในปี 2050 จะสามารถควบคุมการปล่อยก๊าซสะสมภายในปี 2050 ที่เทียบเท่า CO2 น้อยกว่า 24 พันล้านตัน และจะสอดคล้องกับสถานการณ์รักษาภาวะโลกร้อนได้ดีขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่กล่าวข้างต้น
นี่ยังเป็นโอกาสที่ดี ในการเปลี่ยนอุปกรณ์ทำความเย็นแบบเก่า เป็นระบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 20% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลประโยชน์ด้านสภาพอากาศในการเลิกใช้สาร HFCs ได้สองเท่า ทั้งเรื่องลดมลพิษทางอากาศ ปรับปรุงการอุปกรณ์ระบบใหม่ที่ประสิทธิภาพดีกว่า และช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็นได้ค่ะ
HFCs phase-down สามารถทำได้อย่างไร ?
การลดปริมาณการใช้ และการผลิต สารทำความเย็นประเภท HFCs ลงอีก 85% เพื่อให้เหลือเพียง 15% ตามยอดปริมาณการใช้งานในปัจจุบัน จะมีแผนในการลดการใช้สาร HFCs ดังนี้
• กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะเริ่มควบคุมปริมาณตั้งแต่ปี 2019 และลดลงเหลือ 15% ภายในปี 2036 (ยกเว้น Belarus, the Russian Federation, Kazakhstan, Tajikistan, Uzbekistan จะเริ่มควบคุมปริมาณตั้งแต่ปี 2020 และมีเป้าหมายลดลงในปีเดียวกัน)
• กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา #รวมถึงประเทศไทย เริ่มควบคุมปริมาณในปี 2024 และลดลงเหลือ 20% ในปี 2045 หรือ พ.ศ. 2588 (ยกเว้น Bahrain, India, Iran, Iraq, Kuwait, Oman, Pakistan, Qatar, Saudi Arabia, UAE เริ่มควบคุมปริมาณในปี 2028 และลดลงเหลือ 15% ในปี 2047)
สารทำความเย็นทางเลือก (Alternative refrigerants) ใดที่สามารถทดแทน HFC ได้ในปัจจุบันในประเทศไทย ?
สาร HFCs ที่จะถูกควบคุม และลดปริมาณการใช้ ภายใต้ การแก้ไขคิกาลี หรือ Kigali Amendment ได้แก่ สารทำความเย็นประเภท HFCs R32, R134a, R125, R152a, R410A, R404A เป็นต้น
ในปัจจุบันมีทางเลือกสารทำความเย็นที่ถูกคิดค้นมารองรับการพัฒนาข้อบังคับในการใช้สารทำความเย็นระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นสารทำความเย็นที่มี GWP ต่ำมาก หรือไม่มีเลย และมีการใช้งานในลักษณะเดียวกับสาร HFC เช่น แอมโมเนีย (Ammonia (NH3) หรือ R717) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และ สารทำความเย็นธรรมชาติอย่าง R290 หรือ Propane, R600a (Isobutane) หรือที่เรียกว่าสารทำความเย็นธรรมชาติ
และสารทำความเย็นประเภทไฮโดรฟลูออโร-โอเลฟินส์ (HFO), HFO blends อย่าง R1234ze, R1234yf ที่นิยมใช้ในการปรับอากาศรถยนต์มาตรฐานในยุโรป และรถรุ่นใหม่
สารทำความเย็นข้างต้นเริ่มมีการนำมาใช้กันในอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ทำความเย็น คอมเพรสเซอร์รุ่นใหม่ๆ ตู้เย็น ตู้แช่ และเครื่องปรับอากาศ ที่มีแนวโน้มการผลิตอุปกรณ์ที่รองรับสารทำความเย็นทดแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แม้สารทำความเย็นทดแทนจะมีประสิทธิภาพลดค่า GWP ได้ถึง 90% แต่หนึ่งสิ่งที่ทุกคนกังวลเกี่ยวกับการใช้ คือระดับการติดไฟอยู่ที่ A2L หรือมีการติดไฟอยู่ที่ความเร็วการเผาไหม้ต่ำ
แต่ในความเป็นจริงแล้วสารทำความเย็นประเภท A2L จะสามารถติดไฟได้ ก็ต้องมีความเข้มข้นของสารทำความเย็นที่สูงกว่าสารทำความเย็นประเภท A3 ถึงสิบเท่า ซึ่งการใช้สารทำความเย็นที่มีการจุดติดไฟได้ แม้จะเล็กน้อย ก็ต้องมีการอบรมให้ความรู้กับผู้ใช้ และพนักงานในเรื่องของความปลอดภัย
ผู้ออกแบบระบบทำความเย็น หรือติดตั้งควรพัฒนาข้อมูลเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้อุปกรณ์ทราบถึงประโยชน์ของการติดตั้งที่เหมาะสม เช่นการลดต้นทุนไฟฟ้า ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม อายุอุปกรณ์ที่ยาวนานขึ้น และบอกถึงการบำรุงรักษาอุปกรณ์ทำความเย็นที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ และรวมถึงองค์กรภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความรู้ ความเข้าใจในการใช้สารทำความเย็นทดแทนในอนาคตอย่างถูกต้อง
ขั้นตอนการลดปริมาณการใช้งานสารทำความเย็น HFCs ต้องใช้ทั้งเวลา และความรู้ความเข้าใจ เพราะหากบรรลุเป้าหมาย นอกจากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมแล้ว ยังสามารถประหยัดพลังงาน ต้นทุน ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ระบบใหม่ ที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว และยังสามารถยืดอายุอุปกรณ์ทำความเย็น และสารทำความเย็นได้ด้วยการ
• บำรุงรักษาและซ่อมแซมเครื่องทำความเย็นอย่างสม่ำเสมอ
• ทิ้งผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องเมื่อหมดอายุการใช้งาน
• การเปลี่ยนถ่ายสารทำความเย็น ด้วยวิธีการจัดการสารทำความเย็นตลอดวงจรชีวิต (Recovery and reclamation) แทนการถ่ายออกสู่ชั้นบรรยากาศ
HFC Phase-down เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ใช้งาน ที่จะต้องหาความสมดุลในการเลือกใช้อุปกรณ์ทำความเย็น และสารทำความเย็นที่ดี อย่างราคา ต้นทุนที่ ความปลอดภัย ประสิทธิภาพและความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์โลก ที่ทุกคนต้องร่วมตระหนัก เพื่อตอบสนองความยั่งยืน และความต้องการของอนาคต
Colder Solution เราต้องการส่งต่อความมั่นใจในมาตรฐานของสารทำความเย็นทุกแบรนด์ที่จำหน่ายในนามเรา ทั้งในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัยและมีทางเลือกที่หลากหลายในใช้สารทำความเย็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีค่า GWP ต่ำ แต่ให้ประสิทธิภาพสูง เพื่อให้เราก้าวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยกัน ในโลกที่ยั่งยืน
Colder Solution ผู้นำด้านการนำเข้าสารทำความเย็นคุณภาพทุกยี่ห้อ Orafon,Honeywell,Klea,DuPont,Daikin ฯลฯ คอมเพรสเซอร์ รวมถึงอะไหล่ Danfoss และอื่นๆ อาทิเช่นน้ำมันหล่อลื่นเกรดคุณภาพ
หากต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับระบบทำความเย็น รวมถึงเลือกสารทำความเย็นให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ เพื่อคุณภาพสูงสุด ปรึกษาเราได้ที่
Line Official Account : @Colder
✉ Email : kantawan.coldersolution@gmail.com
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อนำเสนอเนื้อหาและโฆษณา
คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม ‘นโยบายคุกกี้’
Website Policy | Privacy Policy | Copyright 2021