@LineOfficial
098-623-8787
logo
Colder Solution Co., Ltd
บริษัท โคลเดอ โซลูชั่น จำกัด

แนวโน้มการลดใช้สารทำความเย็น HFCs ในอนาคต

แนวโน้มการลดใช้สารทำความเย็น HFCs ในอนาคต
Home/บทความทั้งหมด/แนวโน้มการลดใช้สารทำความเย็น HFCs ในอนาคต/

แผยแพร่เมื่อ 27 กรกฎาคม 2565

 

หากลดการใช้สารทำความเย็น HFC จะสามารถมีโอกาสรักษาภาวะโลกร้อนได้ดีขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส

เครื่องปรับอากาศที่ทำให้บรรยากาศการใช้ชีวิตของผู้คนสดชื่น และสะดวกสบาย แต่บรรยากาศของโลกกลับเสื่อมถอยลง ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีการทำความเย็นอื่นๆ เช่น ตู้เย็น ปั๊มความร้อน ฯลฯ และที่ผ่านมาตลอดช่วง 2 ทศวรรษ มีการปล่อยสารทำความเย็นเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของเครื่องปรับอากาศในประเทศกำลังพัฒนา

ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2016 ได้มีการประกาศว่า 170 ประเทศในการแก้ไขคิกาลี (The Kigali Amendment) ประเทศรวันดา ได้ตกลงถึงการลดการใช้สาร HFCs ต่อจากเป้าหมายการเลิกใช้สาร CFCs (คลอโรฟลูออโรคาร์บอน) อย่าง R11,R12 และกำหนดเลิกใช้สาร HCFCs (ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน) อย่าง R22

โดยที่ประเทศไทยได้มีมาตราการด้านกฎหมาย และข้อบังคับใช้จากกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยการห้ามใช้ R22 เป็นสารทำความเย็น ในการผลิตเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดทำความเย็น ต่ำกว่า 50,000 BTU เพื่อใช้ในประเทศ ยกเว้นการผลิตเพื่อส่งออก และห้ามนำเข้า เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R22 ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 BTU แต่ขนาดใหญ่กว่า 50,000 BTU ยังสามารถนำเข้าได้


HFC Phase-down

สำหรับ Hydrofluorocarbons (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ) หรือ HFCs คือกลุ่มของก๊าซประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นสารทำความเย็น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุปกรณ์ทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ อย่าง R407C, R134a ประกอบด้วย ไฮโดรเจน ฟลูออรีน และคาร์บอน เครื่องปรับอากาศในปัจจุบัน มีการใช้สารทำความเย็นประเภท HFCs (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน) มากที่สุด เนื่องจาก ไม่มีเป็นพิษ ไม่ติดไฟ และไม่กัดกร่อนอุปกรณ์

ตั้งแต่ Paris agreement หรือความตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการเสริมสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อเสริมสร้างการดำเนินงานและวัตถุประสงค์ ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

มีเป้าหมายในการเลิกใช้สาร HFCs อย่างรวดเร็วที่สุดเป็นสำคัญ และแทนที่สารทำความเย็น HFCs ด้วยก๊าซชนิดอื่นที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศที่ต่ำกว่า อย่างแอมโมเนีย CO2 และสารทำความเย็นไฮโดรคาร์บอน เช่น R290

การแก้ไขคิกาลี (The Kigali Amendment) ระบุถึงการลดการใช้สาร HFC จนถึงปี 2047 โดยกำหนดให้มีการใช้สารทำความเย็นนี้ลดลงตั้งแต่ 80 ถึง 85%

มีการศึกษาที่คาดการณ์ถึงการปล่อยสาร HFCs โดยไม่มีการควบคุมจากปี 2019 ถึงปี 2050 จะมีปริมาณเทียบเท่า CO2 มากกว่า 92 พันล้านตัน และหากเป็นไปตามความควบคุมจากการลงนามแก้ไขคิกาลี ยอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 32 พันล้านตันเท่านั้น

แต่หากทุกประเทศในโลกลดการปล่อยสาร HFCs ได้ถึง 95% ภายในปี 2050 จะสามารถควบคุมการปล่อยก๊าซสะสมภายในปี 2050 ที่เทียบเท่า CO2 น้อยกว่า 24 พันล้านตัน และจะสอดคล้องกับสถานการณ์รักษาภาวะโลกร้อนได้ดีขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่กล่าวข้างต้น

นี่ยังเป็นโอกาสที่ดี ในการเปลี่ยนอุปกรณ์ทำความเย็นแบบเก่า เป็นระบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 20% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลประโยชน์ด้านสภาพอากาศในการเลิกใช้สาร HFCs ได้สองเท่า ทั้งเรื่องลดมลพิษทางอากาศ ปรับปรุงการอุปกรณ์ระบบใหม่ที่ประสิทธิภาพดีกว่า และช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็นได้ค่ะ

HFCs phase-down สามารถทำได้อย่างไร ?

สารทำความเย็น HFC

การลดปริมาณการใช้ และการผลิต สารทำความเย็นประเภท HFCs ลงอีก 85% เพื่อให้เหลือเพียง 15% ตามยอดปริมาณการใช้งานในปัจจุบัน จะมีแผนในการลดการใช้สาร HFCs ดังนี้

• กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะเริ่มควบคุมปริมาณตั้งแต่ปี 2019 และลดลงเหลือ 15% ภายในปี 2036 (ยกเว้น Belarus, the Russian Federation, Kazakhstan, Tajikistan, Uzbekistan จะเริ่มควบคุมปริมาณตั้งแต่ปี 2020 และมีเป้าหมายลดลงในปีเดียวกัน)

• กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา #รวมถึงประเทศไทย เริ่มควบคุมปริมาณในปี 2024 และลดลงเหลือ 20% ในปี 2045 หรือ พ.ศ. 2588 (ยกเว้น Bahrain, India, Iran, Iraq, Kuwait, Oman, Pakistan, Qatar, Saudi Arabia, UAE เริ่มควบคุมปริมาณในปี 2028 และลดลงเหลือ 15% ในปี 2047)

สารทำความเย็นทางเลือก (Alternative refrigerants) ใดที่สามารถทดแทน HFC ได้ในปัจจุบันในประเทศไทย ?

สาร HFCs ที่จะถูกควบคุม และลดปริมาณการใช้ ภายใต้ การแก้ไขคิกาลี หรือ Kigali Amendment ได้แก่ สารทำความเย็นประเภท HFCs R32, R134a, R125, R152a, R410A, R404A เป็นต้น

ในปัจจุบันมีทางเลือกสารทำความเย็นที่ถูกคิดค้นมารองรับการพัฒนาข้อบังคับในการใช้สารทำความเย็นระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นสารทำความเย็นที่มี GWP ต่ำมาก หรือไม่มีเลย และมีการใช้งานในลักษณะเดียวกับสาร HFC เช่น แอมโมเนีย (Ammonia (NH3) หรือ R717) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และ สารทำความเย็นธรรมชาติอย่าง R290 หรือ Propane, R600a (Isobutane) หรือที่เรียกว่าสารทำความเย็นธรรมชาติ

และสารทำความเย็นประเภทไฮโดรฟลูออโร-โอเลฟินส์ (HFO), HFO blends อย่าง R1234ze, R1234yf ที่นิยมใช้ในการปรับอากาศรถยนต์มาตรฐานในยุโรป และรถรุ่นใหม่

สารทำความเย็นข้างต้นเริ่มมีการนำมาใช้กันในอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ทำความเย็น คอมเพรสเซอร์รุ่นใหม่ๆ ตู้เย็น ตู้แช่ และเครื่องปรับอากาศ ที่มีแนวโน้มการผลิตอุปกรณ์ที่รองรับสารทำความเย็นทดแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แม้สารทำความเย็นทดแทนจะมีประสิทธิภาพลดค่า GWP ได้ถึง 90% แต่หนึ่งสิ่งที่ทุกคนกังวลเกี่ยวกับการใช้ คือระดับการติดไฟอยู่ที่ A2L หรือมีการติดไฟอยู่ที่ความเร็วการเผาไหม้ต่ำ

แต่ในความเป็นจริงแล้วสารทำความเย็นประเภท A2L จะสามารถติดไฟได้ ก็ต้องมีความเข้มข้นของสารทำความเย็นที่สูงกว่าสารทำความเย็นประเภท A3 ถึงสิบเท่า ซึ่งการใช้สารทำความเย็นที่มีการจุดติดไฟได้ แม้จะเล็กน้อย ก็ต้องมีการอบรมให้ความรู้กับผู้ใช้ และพนักงานในเรื่องของความปลอดภัย

ผู้ออกแบบระบบทำความเย็น หรือติดตั้งควรพัฒนาข้อมูลเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้อุปกรณ์ทราบถึงประโยชน์ของการติดตั้งที่เหมาะสม เช่นการลดต้นทุนไฟฟ้า ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม อายุอุปกรณ์ที่ยาวนานขึ้น และบอกถึงการบำรุงรักษาอุปกรณ์ทำความเย็นที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ และรวมถึงองค์กรภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความรู้ ความเข้าใจในการใช้สารทำความเย็นทดแทนในอนาคตอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการลดปริมาณการใช้งานสารทำความเย็น HFCs ต้องใช้ทั้งเวลา และความรู้ความเข้าใจ เพราะหากบรรลุเป้าหมาย นอกจากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมแล้ว ยังสามารถประหยัดพลังงาน ต้นทุน ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ระบบใหม่ ที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว และยังสามารถยืดอายุอุปกรณ์ทำความเย็น และสารทำความเย็นได้ด้วยการ

• บำรุงรักษาและซ่อมแซมเครื่องทำความเย็นอย่างสม่ำเสมอ
• ทิ้งผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องเมื่อหมดอายุการใช้งาน
• การเปลี่ยนถ่ายสารทำความเย็น ด้วยวิธีการจัดการสารทำความเย็นตลอดวงจรชีวิต (Recovery and reclamation) แทนการถ่ายออกสู่ชั้นบรรยากาศ

HFC Phase-down เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ใช้งาน ที่จะต้องหาความสมดุลในการเลือกใช้อุปกรณ์ทำความเย็น และสารทำความเย็นที่ดี อย่างราคา ต้นทุนที่ ความปลอดภัย ประสิทธิภาพและความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์โลก ที่ทุกคนต้องร่วมตระหนัก เพื่อตอบสนองความยั่งยืน และความต้องการของอนาคต

Colder Solution เราต้องการส่งต่อความมั่นใจในมาตรฐานของสารทำความเย็นทุกแบรนด์ที่จำหน่ายในนามเรา ทั้งในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัยและมีทางเลือกที่หลากหลายในใช้สารทำความเย็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีค่า GWP ต่ำ แต่ให้ประสิทธิภาพสูง เพื่อให้เราก้าวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยกัน ในโลกที่ยั่งยืน

Colder Solution ผู้นำด้านการนำเข้าสารทำความเย็นคุณภาพทุกยี่ห้อ Orafon,Honeywell,Klea,DuPont,Daikin ฯลฯ คอมเพรสเซอร์ รวมถึงอะไหล่ Danfoss และอื่นๆ อาทิเช่นน้ำมันหล่อลื่นเกรดคุณภาพ

หากต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับระบบทำความเย็น รวมถึงเลือกสารทำความเย็นให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ เพื่อคุณภาพสูงสุด ปรึกษาเราได้ที่
Line Official Account : @Colder
✉ Email : kantawan.coldersolution@gmail.com

Tags: สารHFCสารHFCsไฮโดรฟลูโอคาร์บอนสารทำความเย็นน้ำยาแอร์R1234yfR32น้ำยาHFCน้ำยาทำความเย็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อนำเสนอเนื้อหาและโฆษณา
คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม  ‘นโยบายคุกกี้’

ตกลง
บริษัท โคลเดอ โซลูชั่น | Colder Solution Co., Ltd
เลขที่ 123/515 ม.3 ซ.ธนสิทธิ์ ถ.เทพารักษ์, ต.บางปลา, อ.​บางพลี, จ.สมุทรปราการ 10540
phone
098-623-8787
mail
kantawan.coldersolution@gmail.com
fb
https://www.facebook.com/coldersolution

Website Policy | Privacy Policy | Copyright 2021