แนะนำ 3 สารทำความเย็นกลุ่ม Very Low Temperature (VLT) หรืออุณหภูมิต่ำพิเศษ

แผยแพร่เมื่อ 13 ธันวาคม 2564

แนะนำ 3 สารทำความเย็นกลุ่ม Very Low Temperature (VLT) หรืออุณหภูมิต่ำพิเศษ

อุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการเก็บรักษาสินค้าให้คงสภาพ ตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตต้องการ นอกจากอุตสาหกรรมในเชิงพาณิชย์แล้ว การใช้อุณหภูมิที่ต่ำพิเศษ ยังนำมาใช้ในทางการแพทย์ ที่มีความซับซ้อนสูงอีกด้วย

เช่นการเก็บตัวอย่างทางการแพทย์ (เนื้อเยื่อ ไข่ อสุจิ) ยา หรือวัคซีน รวมทั้งตัวอย่างทางชีววิทยาที่ไวต่ออุณหภูมิ ต้องถูกเก็บรักษาในระบบทำความเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำมาก (VLT) เพื่อคงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น โดยเก็บในตู้แช่แข็ง Ultra-low-temperature freezers (ULT freezers) หรือตู้แช่แข็งควบคุมอุณหภูมิต่ำพิเศษ ULT

อุณหภูมิต่ำสุดที่สามารถทำได้จริงในระบบทำความเย็นแบบ single-stage คือประมาณ -40 ถึง -50˚F ระบบ Single Stage ได้ถูกจำกัดอุณหภูมิโดยอัตราส่วนการอัดของ Compressor และอุณหภูมิแวดล้อม ที่ต้องกลั่นตัวสารทำความเย็น ดังนั้นการทำอุณหภูมิตั้งแต่ -50 ถึง -120˚ หรือต่ำกว่า สามารถทำได้โดยใช้ระบบทำความเย็นแบบคาสเคด หรือ Cascade Refrigeration Systems เท่านั้น

สารทำความเย็นในระดับต่ำจะต้องรักษาแรงดันใช้งานปกติในคอมเพรสเซอร์ที่อุณหภูมิต่ำมาก สารทำความเย็นเหล่านี้จะควบแน่นประมาณ -30 ถึง -20˚ ที่แรงดัน 110 ถึง 160 psig เมื่อสารทำความเย็นเหล่านี้อุ่นขึ้นจนถึงอุณหภูมิห้อง ความดันอิ่มตัวหรือในบางกรณี ความดันวิกฤต อาจเกิน 700 psig

สิ่งที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบทำความเย็นในอุณหภูมิต่ำพิเศษหรือ Very Low Temperature มีปัจจัยหลายประการเช่น ขนาดและปริมาณของสินค้า อุณหภูมิแวดล้อม การไหลเวียนของอากาศรอบยูนิต รวมถึงการเลือกใช้สารทำความเย็นที่เป็นปัจจัยที่มีผลกระทบมากที่สุดต่อประสิทธิภาพการทำความเย็นในอุณหภูมิต่ำพิเศษ

ตู้แช่ในระบบ VLT รุ่นเก่ามักใช้สารทำความเย็น R-13 และ R-503 แต่เมื่อกฎระเบียบการควบคุมสารทำความเย็นที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากพิธีสารมอนทรีออล และกฏหมายจากแต่ละประเทศ ทำให้มีการยุติการผลิตสารทำความเย็น R13 และ R503 ที่มีศักยภาพในการทำลายโอโซน (ODP)

ผู้ผลิตหลายเจ้าจึงได้เปลี่ยนระบบอุปกรณ์ทำความเย็น เพื่อมารองรับสารทำความเย็นยุคใหม่ สารทำความเย็นที่ใช้กับอุณหภูมิต่ำเพิเศษได้แก่ Orafon R23, Orafon R508b, Orafon R170

ไม่ว่าจะเป็น R170,R23 และ R508b ล้วนเป็นสารทำความเย็นในระบบ VLT หรือ Very Low Temp ทั้งสิ้น

R508B เป็นสารทำความเย็นซึ่งใช้แทน R13 และ R503 ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก ๆ มีข้อได้เปรียบกว่า R23 ที่ให้ค่า Capacity ที่ดีกว่า ซึ่งสามารถรักษาอุณหภูมิให้ต่ำกว่าได้อย่างเห็นได้ชัด โดยข้อเด่นของ R508B เป็นสารทำความเย็นที่จัดลำดับความปลอดภัยในระดับ A1 (ไม่ติดไฟ) และไม่ทำลายชั้นโอโซน

ส่วนในด้านของ สารทำความเย็น Orafon R170 หรืออีเทน (Ethane) ที่มีระดับความปลอดภัยของ ASHRAE ในระดับ A3 หรือยังมีความสามารถในการติดไฟได้อยู่ แต่ด้วย R170 หรือ Ethane เป็นสารทำความเย็นธรรมชาติที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเริ่มมีการนำมาใช้ทดแทน R-508b ในกลุ่ม Very low temp

ส่วนปริมาณการใช้งานของสารทำความเย็น R170,R23 และ R508b เรียกได้ว่าใช้ในปริมาณที่ต่ำมากๆ เลยทีเดียว

สารทำความเย็นในอุณหภูมิระดับต่ำจะต้องมีคุณสมบัติรักษาแรงดันให้ใช้งานปกติใน Compressor ที่อุณหภูมิต่ำมาก สารทำความเย็นต้องสามารถควบแน่นประมาณ -30 ถึง -20˚ ที่แรงดัน 110 ถึง 160 psig และเมื่อสารทำความเย็นอุ่นขึ้นจนถึงระดับอุณหภูมิห้อง หรือในระดับความดันอิ่มตัวจนถึงความดันวิกฤต ที่อาจจะเกิน 700 psig

ยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูงมาก ยิ่งมีความเสี่ยงต่อความเสียหายสูงเท่านั้น ดังนั้นการเลือกใช้สารทำความเย็นที่มีคุณภาพสูง และให้ประสิทธิภาพสม่ำเสมอต่อระบบทำความเย็นเป็นสิ่งสำคัญ

บริษัท โคลเดอ โซลูชั่น จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสารทำความเย็น และเป็นตัวแทนจำหน่าย น้ำยาแอร์ สารทำความเย็น ราคาโรงงาน สำหรับเครื่องปรับอากาศรถยนต์, เครื่องปรับอากาศอาคาร, ตู้แช่, เครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ เช่น น้ำยาแอร์ R32, R134a, R22, R507 ฯลฯ ในราคาโรงงาน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องทำความเย็นอื่นๆ แบบครบวงจร

หากต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับระบบทำความเย็น รวมถึงเลือกสารทำความเย็นให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ เพื่อคุณภาพสูงสุด ปรึกษาเราได้ที่ Line id : @Colder